เชลซี vs คริสตัล พาเลซ: วิเคราะห์เกมเปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีก 2025-26
บทนำ
เฮ้ยย! พี่น้องที่รักฟุตบอล! เตรียมตัวให้พร้อมกับศึกดาร์บี้ลอนดอนสุดมันส์ระหว่าง เชลซี กับ คริสตัล พาเลซ ในวันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม 2025 เวลา 14:00 น. (เวลาอังกฤษ) หรือ 20:00 น. (เวลาไทย) ณ สแตมฟอร์ด บริดจ์ นี่คือเกมเปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีก 2025-26 ที่เต็มไปด้วยดราม่าและความน่าสนใจแบบจัดเต็ม! สิ่งที่ทำให้เกมนี้พิเศษมากก็คือทั้งสองทีมล้วนแล้วแต่เป็นแชมป์ของการแข่งขันระดับสูง เชลซีเพิ่งคว้าแชมป์คลับเวิลด์คัพ FIFA มาได้ ส่วนคริสตัล พาเลซก็เพิ่งคว้าแชมป์เอฟเอคัพและชนะคอมมิวนิตี้ ชีลด์มาเหมือนกัน แต่ที่สำคัญที่สุดคือนี่เป็นดาร์บี้ลอนดอนแท้ๆ ซึ่งมักจะมีความดุเดือดและคาดเดาไม่ได้เสมอ การเริ่มต้นฤดูกาลใหม่นี้จึงเป็นการทดสอบที่สำคัญสำหรับทั้งสองทีมในการวัดว่าการเตรียมตัวและแผนการของพวกเขาจะได้ผลมากแค่ไหน โดยเฉพาะเชลซีที่ต้องรับความกดดันในฐานะแชมป์โลก และคริสตัล พาเลซที่ต้องการพิสูจน์ว่าความสำเร็จในปีที่แล้วไม่ใช่เพียงแค่ความบังเอิญ
การวิเคราะห์หลัก
สถานการณ์ปัจจุบัน
เชลซี ตอนนี้กำลังเข้าสู่ฤดูกาลใหม่ด้วยความมั่นใจที่สูงส่ายฟ้า! หลังจากที่พวกเขาไปคว้าแชมป์คลับเวิลด์คัพ FIFA มาได้ในช่วงหน้าร้อน ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับสโมสร แต่ที่น่าสนใจคือพวกเขามีช่วงเตรียมทีมที่สั้นมากเพียง 35 วัน ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่สั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรเลยทีเดียว แต่ถึงแม้จะมีเวลาเตรียมตัวน้อย ทีมกลับไปแสดงฟอร์มที่ยอดเยี่ยมในเกมอุ่นเครื่อง โดยเอาชนะบาเยอร์ เลเวอร์คูเซนไปด้วยสกอร์ 2-0 และยิ่งไปกว่านั้นคือการถล่มเอซี มิลาน 4-1 อย่างสนุกเพลิน ความพิเศษของทีมในฤดูกาลนี้คือการได้นักเล่นใหม่ที่มีคุณภาพสุดยอด อย่าง โจแอว เปโดร จากไบรท์ตัน ที่เป็นนักเล่นที่มีเทคนิคและความเร็วในการทำประตูที่น่าตื่นตาตื่นใจ, เลียม เดแลป จากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เป็นหอกเหลี่ยมคมที่มีความสามารถในการทำประตูจากทุกมุม, เอสเตเวา จากคาราบัค ที่เป็นปีกเร็วที่มีเทคนิคเปิดเกมได้ดี และ เจมี่ กิตเทนส์ ที่เป็นนักเล่นหนุ่มที่มีศักยภาพสูงมาก นักเล่นเหล่านี้เข้ามาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในแนวรุกที่แม้จะมีอยู่แล้วก็ยังถือว่าขาดความหลากหลายในบางตำแหน่ง
ถ้าพูดถึงตำแหน่งปัจจุบันของเชลซีในอันดับที่ 7 ของพรีเมียร์ลีก มันอาจดูเหมือนไม่สะท้อนถึงศักยภาพที่แท้จริงของทีม โดยเฉพาะเมื่อ เอ็นโซ่ มาเรสก้า ได้เข้ามาคุมทีมและสามารถนำทีมสู่ความสำเร็จในระดับโลกได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาทีมของเขาอย่างมีประสิทธิภาพ แต่อีกด้านหนึ่งทีมก็ยังคงประสบปัญหาในเรื่องของการบาดเจ็บของนักเล่นหลักหลายคน โดยเฉพาะ เลวี โคลวิลล์ ที่ได้รับบาดเจ็บที่เอ็นไขว้หน้าซึ่งเป็นการบาดเจ็บที่ร้ายแรงมาก และคาดว่าจะกลับมาเล่นได้ไม่เร็วกว่าเดือนเมษายน 2026 ซึ่งถือว่าเป็นการสูญเสียที่ใหญ่มากสำหรับทีม นอกจากนั้นยังมี นิโคลาส แจ็กสัน ที่ติดแบนและจะไม่สามารถลงเล่นในเกมเปิดฤดูกาลนี้ได้ ทำให้ทีมต้องปรับแผนการเล่นใหม่
คริสตัล พาเลซ ส่วนนี้พูดได้เลยว่าพวกเขาเข้าสู่ฤดูกาลใหม่นี้ด้วยความมั่นใจที่สูงมากจริงๆ! หลังจากฟอร์มการเล่นที่โคตรยอดเยี่ยมในช่วงท้ายของฤดูกาลที่แล้ว ทีมไม่แพ้ในเกมการแข่งขันจริงมาตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งเป็นสถิติที่น่าทึ่งมาก โดยรวมถึงการคว้าแชมป์เอฟเอคัพอย่างน่าประทับใจ และที่สำคัญคือการเอาชนะลิเวอร์พูลในคอมมิวนิตี้ ชีลด์ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าทีมสามารถเอาชนะทีมใหญ่ได้ในเกมสำคัญๆ ความสำเร็จเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาของทีมอย่างต่อเนื่องภายใต้การนำของ โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ ที่เข้ามาคุมทีมและสามารถปลุกศักยภาพของนักเล่นให้ออกมาได้อย่างเต็มที่ การเล่นของทีมดูมีเอกลักษณ์ชัดเจนและมีการทำงานร่วมกันที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม ทีมกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่คือความไม่แน่นอนเรื่องอนาคตของนักเล่นดาวสองคนที่สำคัญที่สุด คือ เอเบเรชี่ เอเซ่ และ มาร์ค เกหี ที่มีข่าวลือการย้ายทีมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าพวกเขาย้ายไปจริงจะส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งของทีมอย่างมาก เพราะทั้งสองคนคือหัวใจสำคัญของการเล่น
นอกจากนั้นในแง่ของการแข่งขันในยุโรป คริสตัล พาเลซได้รับผลกระทบจากการตัดสินของ CAS ที่ทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมยูโรปา ลีกได้ตามที่คาดหวัง แต่ต้องลงไปแข่งขันในคอนเฟอเรนซ์ ลีกแทน ซึ่งถึงแม้จะยังคงเป็นการแข่งขันในระดับยุโรป แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ทีมต้องการจริงๆ เพราะเป็นระดับที่ต่ำกว่า และอาจส่งผลต่อขวัญกำลังใจของทีมและแผนการซื้อขายนักเล่น รวมถึงการดึงดูดนักเล่นดาวเข้ามาในอนาคต แต่ก็ต้องให้เครดิตกับทีมที่สามารถรักษาสมาธิและพุ่งเป้าไปที่การแข่งขันที่มีอยู่ได้
จุดแข็งและจุดอ่อน
จุดแข็งของเชลซี ที่เห็นได้ชัดเลยคือ พลังโจมตีที่หลากหลายและน่าเกรงขาม การมี โคล พาล์เมอร์ เป็นหัวหอกหลักที่สามารถเล่นได้หลายตำแหน่งและทำประตูได้จากทุกสถานการณ์ รวมกับการเสริมทัพด้วยนักเล่นใหม่ที่มีคุณภาพสูง ทำให้ทีมมีตัวเลือกในการสร้างสรรค์การเล่นและการทำประตูที่มากขึ้นกว่าเดิมเยอะ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นผ่านกลางหรือทางปีก ทีมสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ประสบการณ์ระดับโลก ก็เป็นอีกจุดแข็งสำคัญ ความสำเร็จในคลับเวิลด์คัพไม่ได้แค่สร้างความมั่นใจให้กับทีมเท่านั้น แต่ยังให้ประสบการณ์การเล่นในระดับสูงสุดและการจัดการกับแรงกดดันในเกมสำคัญๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในพรีเมียร์ลีก ความลึกของทีม ถือเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญมาก แม้จะมีนักเล่นบาดเจ็บไปบ้าง แต่ทีมยังคงมีทางเลือกที่มีคุณภาพสูงในทุกตำแหน่ง ทำให้โค้ชสามารถหมุนเวียนนักเล่นและปรับแผนการเล่นได้อย่างยืดหยุ่น การเล่นในบ้าน ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ก็เป็นจุดแข็งที่ไม่ควรมองข้าม ทีมมีสถิติการเล่นที่บ้านที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะไม่แพ้มาตั้งแต่วันบ็อกซิ่งเดย์ และแฟนบอลเชลซีก็เป็นที่รู้จักในเรื่องการให้กำลังใจที่ดี
แต่ จุดอ่อนของเชลซี ก็มีให้เห็นเหมือนกัน ปัญหาการบาดเจ็บ ถือเป็นปัจจัยที่กวนใจมากที่สุด การขาดแคลน นิโคลาส แจ็กสัน ที่ติดแบนในเกมแรก และการบาดเจ็บของ เลวี โคลวิลล์ ที่จะกลับมาไม่ได้เร็วๆ นี้ ทำให้ทีมต้องปรับแผนการเล่นและอาจจะไม่ได้เรียงทีมที่แข็งแกร่งที่สุด ช่วงเตรียมทีมที่สั้น เพียง 35 วัน อาจส่งผลต่อความพร้อมและการประสานงานของนักเล่นในช่วงต้นฤดูกาล โดยเฉพาะนักเล่นใหม่ที่อาจยังปรับตัวไม่ทัน แรงกดดันความคาดหวัง จากการเป็นแชมป์โลกทำให้ทุกเกมมีแรงกดดันมากขึ้น แฟนบอลและสื่อต่างคาดหวังให้ทีมแสดงผลงานระดับเวิลด์คลาสในทุกการแข่งขัน
ส่วนจุดแข็งของคริสตัล พาเลซ นั้นก็น่าประทับใจไม่แพ้กัน ฟอร์มการเล่นที่ดีและความมั่นใจสูง จากการไม่แพ้มานานและเพิ่งเอาชนะลิเวอร์พูลในคอมมิวนิตี้ ชีลด์ ทำให้ทีมมีจิตวิญญาณการต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก จิตวิญญาณการสู้รบ ที่แสดงให้เห็นในการคว้าแชมป์เอฟเอคัพ ทีมสามารถเล่นได้ดีในเกมที่มีแรงกดดันสูงและสามารถเอาชนะทีมที่แข็งแกร่งกว่าได้ นักเล่นดาวที่มีคุณภาพระดับท็อป อย่าง เอเซ่ และ เกหี เป็นนักเล่นที่สามารถเปลี่ยนเกมได้ด้วยความสามารถส่วนตัว เอเซ่มีเทคนิคการดริบเบิลและการทำประตูที่ยอดเยี่ยม ส่วนเกหีเป็นกองหลังที่มีความสามารถในการเล่นบอลจากหลังและการป้องกันที่มั่นคง ความมั่นคงของทีม ในการรักษานักเล่นหลักไว้ได้เกือบทั้งหมด ทำให้ทีมมีความต่อเนื่องในการเล่นและไม่ต้องเสียเวลาในการปรับตัว
แต่ จุดอ่อนของคริสตัล พาเลซ ก็เป็นเรื่องที่น่ากังวล ความไม่แน่นอนของนักเล่นดาว เรื่องสถานการณ์ของเอเซ่และเกหีที่อาจย้ายทีมส่งผลกระทบต่อสมาธิในการเล่นและอาจทำให้ทีมเสียจุดแข็งหลักไป ขาดประสบการณ์การเล่นนอกบ้านกับทีมใหญ่ สถิติการเล่นที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ไม่ดี และการเล่นกับทีมระดับท็อปนอกบ้านมักจะเป็นเรื่องที่ยาก การปรับตัวจากความผิดหวังในยุโรป เรื่องการถูกลดระดับไปเล่นคอนเฟอเรนซ์ ลีกแทนยูโรปา ลีก อาจส่งผลต่อขวัญกำลังใจของทีมและอาจทำให้มีแรงจูงใจน้อยลงในการแข่งขัน
ปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดผลการแข่งขัน
1. การใช้ประโยชน์จากการเล่นในบ้านของเชลซี นี่คือปัจจัยที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ เชลซีมีสถิติการเล่นที่บ้านที่ยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะในเกมเปิดฤดูกาลดาร์บี้ลอนดอน ซึ่งชนะทั้ง 4 ครั้งที่เจอกันในอดีต สแตมฟอร์ด บริดจ์เป็นสนามที่มีบรรยากาศที่ดีและแฟนบอลเชลซีมักจะมาเชียร์อย่างคึกคัก การสนับสนุนจากแฟนบอลและความคุ้นเคยกับสนามจะเป็นข้อได้เปรียบสำคัญ โดยเฉพาะในเกมแรกของฤดูกาลที่ทุกคนจะตื่นเต้นและให้กำลังใจกันอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นการรู้จักสนามดี รู้ว่าบริเวณไหนหญ้ายาวหรือสั้น ลมพัดทิศทางไหน ก็เป็นข้อได้เปรียบเล็กๆ ที่อาจส่งผลต่อการเล่นได้
2. สถานการณ์ของนักเล่นดาวคริสตัล พาเลซ เรื่องนี้ถือเป็นปัจจัยที่จะกำหนดผลเกมได้อย่างมาก การที่เอเซ่และเกหียังคงอยู่กับทีมและพร้อมลงเล่นเต็มที่โดยไม่มีอิทธิพลจากข่าวลือการย้าย จะทำให้คริสตัล พาเลซมีโอกาสสร้างปัญหาให้เชลซีได้มาก แต่หากทั้งสองคนยังคิดถึงเรื่องการย้ายทีมอยู่ในหัว หรือไม่มีสมาธิในการเล่น ก็อาจส่งผลเสียต่อทีมได้ ความสามารถของทั้งสองคนในการเปลี่ยนเกมด้วยลีลาเฉพาะตัวเป็นสิ่งที่เชลซีต้องระวังมาก และหากพวกเขาเล่นได้เต็มที่ คริสตัล พาเลซก็มีโอกาสสร้างเซอร์ไพรส์ได้
3. การปรับตัวของนักเล่นใหม่เชลซี นี่เป็นอีกปัจจัยที่น่าสนใจมาก โจแอว เปโดร และเลียม เดแลป จะต้องแสดงให้เห็นว่าสามารถปรับตัวเข้ากับพรีเมียร์ลีกและสไตล์การเล่นของเชลซีได้อย่างรวดเร็ว พรีเมียร์ลีกมีความแตกต่างจากลีกอื่นๆ ในเรื่องของความเร็ว ความแข็งแกร่งทางกายภาพ และแรงกดดันจากสื่อและแฟนบอล การที่นักเล่นใหม่สามารถปรับตัวได้เร็วและมีส่วนร่วมในการทำประตูหรือสร้างจุดได้เปรียบจะเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้เชลซีมีความหลากหลายในการโจมตีที่มากขึ้น แต่หากพวกเขายังปรับตัวไม่ทัน เชลซีอาจต้องพึ่งพานักเล่นเก่าเป็นหลักซึ่งอาจทำให้การเล่นคาดเดาได้ง่ายขึ้น
4. ยุทธวิธีการเล่นและการปรับตัวของทั้งสองทีม เรื่องนี้น่าจะเป็นจุดที่น่าสนใจที่สุด เชลซีภายใต้มาเรสก้ามักจะเล่นแบบครอบครองบอลและสร้างการเล่นจากหลังอย่างอดทน พวกเขาชอบควบคุมจังหวะเกมและค่อยๆ สร้างโอกาสอย่างระมัดระวัง ขณะที่คริสตัล พาเลซชอบเล่นแบบคาเตอร์แอตแทคที่รวดเร็วและใช้ความเร็วของเอเซ่และ ซาร์ ในการสร้างอันตราย การที่ทีมไหนสามารถบังคับให้คู่แข่งเล่นตามจังหวะของตัวเองได้จะมีโอกาสชนะสูงกว่า หากเชลซีสามารถควบคุมบอลได้และทำให้คริสตัล พาเลซต้องวิ่งตามบอลตลอดเวลา คริสตัล พาเลซอาจเหนื่อยและสร้างโอกาสได้น้อยลง แต่หากคริสตัล พาเลซสามารถตัดบอลได้และสร้างการเล่นแบบเร็วได้สำเร็จ พวกเขาก็มีโอกาสทำประตูได้
บทสรุป
หลังจากวิเคราะห์ทุกด้านแล้ว ต้องบอกเลยว่าเชลซีน่าจะมีโอกาสชนะสูงกว่าคริสตัล พาเลซอย่างชัดเจน เหตุผลหลักมาจากหลายปัจจัย คือข้อได้เปรียบในการเล่นที่บ้านซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในฟุตบอล ความลึกของทีมที่มีตัวเลือกมากกว่าและสามารถหมุนเวียนนักเล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสบการณ์จากการคว้าแชมป์โลกที่สร้างความมั่นใจและจิตวิญญาณการชนะให้กับทีม การมีนักเล่นใหม่ที่มีคุณภาพเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งในแนวรุกก็เป็นอีกจุดที่น่าจับตา สแตมฟอร์ด บริดจ์ในฐานะสนามเหย้าก็เป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งสำหรับเชลซี
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรมองข้ามคริสตัล พาเลซเลยนะ! พวกเขาเป็นทีมที่มีฟอร์มดีมากและมีนักเล่นดาวอย่างเอเซ่และเกหีที่สามารถสร้างเซอร์ไพรส์ได้เสมอ ความสำเร็จในเอฟเอคัพและคอมมิวนิตี้ ชีลด์แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความสามารถในการเอาชนะทีมใหญ่ได้ในเกมสำคัญ จิตวิญญาณการต่อสู้และความหิวชัยชนะของพวกเขาก็ไม่ควรดูถูก คาดว่าจะเป็นเกมที่สูสีและเต็มไปด้วยความตื่นเต้น มีโอกาสเห็นประตูจากทั้งสองฝ่าย แต่ในท้ายที่สุดเชลซีน่าจะได้เปรียบด้วยการเล่นในบ้านและความแข็งแกร่งของทีมโดยรวมที่ดูจะมีความสมบูรณ์แบบกว่า ไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหน แต่แน่นอนว่าเกมนี้จะเป็นการเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ที่น่าจดจำแน่นอน
การทำนายผล: เชลซี 2-1 คริสตัล พาเลซ
ส่วนถามตอบเปิด
คำถามที่ 1: การปรับเปลี่ยนยุทธวิธีใดที่อาจเห็นได้ในเกมนี้?
เรื่องการปรับยุทธวิธีในเกมนี้น่าสนใจมากจริงๆ! มาเรสก้าที่เป็นโค้ชที่ชอบการทดลองและมีความยืดหยุ่นในการปรับแผนการเล่น อาจจะใช้ระบบ 4-2-3-1 ที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยให้ โคล พาล์เมอร์ เล่นในบทบาทของ “False 9” หรือ “เบอร์เก้าเถื่อน” เมื่อทีมครอบครองบอล ซึ่งหมายความว่าเขาจะไม่อยู่ในตำแหน่งเบอร์เก้าแบบดั้งเดิม แต่จะลากลงมาสร้างเกมและให้นักเล่นปีกอย่าง โจแอว เปโดร และ เจมี่ กิตเทนส์ วิ่งเข้ามาทำประตูแทน การเล่นแบบนี้จะทำให้คู่แข่งสับสนและไม่รู้ว่าจะไปเฝ้าใครดี นอกจากนั้นการใช้ เรซ เจมส์ ให้เคลื่อนที่เข้ามาในกองกลางเมื่อมีบอลจะช่วยสร้างความได้เปรียบในการครอบครองบอลและการส่งบอลข้างหน้า
ส่วนคริสตัล พาเลซกับกลาสเนอร์ อาจจะปรับจากการเล่นแบบกดดันสูงมาเป็นการใช้การป้องกันแบบ low block แทน เพราะการไปกดดันเชลซีที่มีความสามารถในการเล่นบอลจากหลังอาจเป็นการเสี่ยงเกินไป แทนที่จะไปเปิดพื้นที่ให้เชลซีเล่นแบบ tiki-taka พวกเขาอาจจะเลือกที่จะรออยู่ในครึ่งเขตตัวเองและพึ่งพาการคาเตอร์แอตแทคผ่าน เอเซ่, มาเตตา และ ซาร์ โดยใช้ความเร็วและการประสานงานกันในการสร้างอันตรายอย่างรวดเร็ว การที่กลาสเนอร์อาจส่ง วาร์ตัน ลงเล่นในตำแหน่งที่ลึกกว่าปกติเพื่อช่วยในการส่งบอลยาวและบอลยาวแม่นยำหาปีกข้างก็เป็นไปได้สูงมาก การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะทำให้เกมมีความน่าสนใจและคาดเดาได้ยาก
คำถามที่ 2: นักเล่นคนไหนที่อาจจะเป็นตัวเปลี่ยนเกมในการแข่งขันนี้?
นี่เป็นคำถามที่น่าตื่นเต้นมาก! ฝั่งเชลซี โคล พาล์เมอร์ ถือเป็นตัวเปลี่ยนเกมอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เขาเป็นนักเล่นที่มีความสามารถรอบด้าน สามารถสร้างโอกาสได้ด้วยการส่งบอล การดริบเบิล และที่สำคัญคือทำประตูได้จากหลายสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการยิงจากระยะไกลที่แม่นยำมาก การเล่นในพื้นที่แคบๆ ในเขตโทษ หรือการยิงจากฟรีคิก ความสามารถในการอ่านเกมและการตัดสินใจในช่วงเวลาที่สำคัญทำให้เขาเป็นนักเล่นที่อันตรายมาก การที่เขาสามารถเล่นได้หลายตำแหน่งทำให้การป้องกันเขาเป็นเรื่องยากสำหรับคริสตัล พาเลซ นอกจากนั้น โจแอว เปโดร ในฐานะนักเล่นใหม่ก็มีโอกาสสร้างความแปลกใจได้ด้วยรูปแบบการเล่นที่คริสตัล พาเลซยังไม่คุ้นเคย
ส่วนฝั่งคริสตัล พาเลซ เอเบเรชี่ เอเซ่ เป็นอีกนักเล่นหนึ่งที่มีโอกาสเปลี่ยนเกมได้สูงมาก ความเร็วที่น่าทึ่งและเทคนิคการดริบเบิลที่เหนือระดับสามารถสร้างปัญหาให้กับแนวป้องกันของเชลซีได้อย่างมาก โดยเฉพาะหากเขาสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ว่างหลัง กูคูเรย่า ที่เป็นแบ็คซ้ายของเชลซีและชอบบุกขึ้นไปข้างหน้า การที่เขาสามารถตัดเข้ามาจากปีกและยิงประตูได้ด้วยเท้าทั้งซ้ายและขวา ทำให้การป้องกันเขาเป็นเรื่องยาก นอกจากนั้น อาดัม วาร์ตัน อัจฉริยะหนุ่มวอย 20 ปีในฐานะผู้สร้างเกมของคริสตัล พาเลซก็มีบทบาทสำคัญมาก ความสามารถในการส่งบอลที่แม่นยำและการอ่านเกมที่ดีเยี่ยมทำให้เขาสามารถควบคุมจังหวะเกมและสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมได้อย่างต่อเนื่อง การที่เขายังหนุ่มและหิวที่จะแสดงตัวในเวทีใหญ่ก็อาจทำให้เขาเล่นได้เต็มที่และสร้างความประทับใจได้
ตารางที่ 1: เปรียบเทียบสถิติหลัก
| สถิติ | เชลซี | คริสตัล พาเลซ |
|---|---|---|
| ประตูเฉลี่ยต่อเกม | 2.8 | 1.4 |
| เสียประตูเฉลี่ยต่อเกม | 0.9 | 1.2 |
| การครอบครองบอล (%) | 62 | 45 |
| การยิงนอกกรอบต่อเกม | 15.2 | 10.8 |
| ความแม่นยำการส่งบอล (%) | 85 | 78 |
| การเล่นในเขตโทษ | 12.5 | 8.3 |
| การป้องกันที่สำเร็จ | 18.7 | 22.1 |
ตารางที่ 2: นักเล่นดาวและตัวสำรองสำคัญ
| ทีม | นักเล่น | ตำแหน่ง | ฟอร์มล่าสุด |
|---|---|---|---|
| เชลซี | Cole Palmer | กองกลาง/กองหน้า | ดาวเด่นของทีม ทำประตูเก่ง |
| เชลซี | João Pedro | กองหน้า | นักเล่นใหม่ที่น่าจับตา |
| เชลซี | Liam Delap | กองหน้า | มือปืนหน้าใหม่ |
| เชลซี | Enzo Fernández | กองกลาง | ผู้ควบคุมเกม |
| เชลซี | Reece James | กองหลัง | กัปตันทีมที่แข็งแกร่ง |
| คริสตัล พาเลซ | Eberechi Eze | กองกลาง/ปีก | ผู้เล่นดาวที่อาจย้าย |
| คริสตัล พาเลซ | Jean-Philippe Mateta | กองหน้า | นักทำประตูหลัก |
| คริสตัล พาเลซ | Marc Guéhi | กองหลัง | กัปตันทีมที่มั่นคง |
| คริสตัล พาเลซ | Adam Wharton | กองกลาง | อัจฉริยะหนุ่ม |
| คริสตัล พาเลซ | Ismaïla Sarr | ปีก/กองหน้า | ปีกเร็วที่อันตราย |
